หาอะไรก็เจอ

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

วีรกรรมสุดยิ่งใหญ่ของแม่

ตึกเซนต์หลุยมารี แผนกประถม ราวปี พ.ศ. 2539

เสียงโทรศัพท์ ดังขึ้น … มิสค่ะ … ช่วงพักเที่ยงจะมีผู้ปกครองมารอพบสองท่านที่หน้าห้องนะคะ โทรศัพท์แจ้งจากห้องประชาสัมพันธ์ ทำให้มิสอุไรพร นาคะเสถียร ครูประจำชั้น ป.4 รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะจำได้ว่านัดหมายแค่คุณแม่ท่านเดียวเท่านั้นในวันนี้

เอ… ใครละเนี่ย จะมีเรื่องอะไรรึปล่าวนะ เมื่อมาถึงห้อง ครูสาวแทบยกมือรับไหว้จากสุภาพสตรีทั้งสองท่านไม่ทัน หากแต่รูสึกแปลกใจที่เห็นคุณแม่ท่านหนึ่งยกมือไหว้แต่เพียงแขนข้างเดียว

อย่างไรก็ตาม มิสได้เชิญคุณแม่ท่านแรกเข้าไปคุยก่อนตามลำดับการนัดหมาย โดยเก็บงำความแปลกใจไว้ หลังจากคุยกับคุณแม่ท่านแรกเสร็จ จึงได้เชิญคุณแม่อีกท่านเข้ามาคุยในห้องรับรอง

… ภาพแรกที่ได้เห็นชัด ๆ ทำให้ครูสาวตกใจเล็กน้อย แขนซ้ายของคุณแม่เป็นแขนเทียม คุณแม่มาปรึกษาเรื่องการเรียนของลูก เพราะไม่ได้มาในวันนัดพบผู้ปกครองประจำปี เมื่อต้นปีที่ผ่านมา

ลูกเขาไม่อยากให้มา เขาบอกว่าอายพื่อนที่แม่ใส่แขนเทียม กลัวโดนเพื่อนล้อ ว่า แม่แขนเดียว แม่เป็นหุ่นยนต์หรอ อะไรนี่นะคะ เลยไม่ได้มา น้ำเสียงคุณแม่แฝงแววเอ็นดูมากกว่าที่จะโกรธหรือไม่พอใจ

มิสอุไรพร ขออนุญาตซักถามเกี่ยวกับสาเหตุที่คุณแม่ต้องใส่แขนเทียม เมื่อได้ทราบความจริง ครูสาวตัดสินใจแน่วแน่ว่าต้องจัดการเรื่องที่ลูกไม่ยอมรับและไม่เข้าใจแม่ หากปล่อยเรื่องนี้ไป… จะเป็นตราบาปอันหนักยิ่งติดตัวเด็กไปภายหน้า ทั้งตัวลูกชายและคนที่ล้อเพื่อนที่ล้อเพื่อนด้วย

ช่วงเย็นวันนั้นมีชั่วโมงลูกเสือแต่ฝนตกหนัก มิสอุไรพร จึงได้โอกาสนำเรื่องนี้มาเล่าให้นักเรียนฟัง เรื่องราวที่ว่านั้น ความดังนี้…

วันที่ 21 สิงหาคม 2536 หลังวันแม่ไม่กี่วัน… ครอบครัวหนึ่งเดินทางไปเที่ยวนากุ้งที่จังหวัดสตูล ประกอบด้วย พ่อแม่และลูกชายอีกสามคน พวกเขาเดินชมนากุ้งไปตามทางเดินซึ่งเป็นคัดดินเล็ก ๆ ท่ามกลางบรรยากาศสดชื่นของธรรมชาติ โดยมีคุณพ่อเดินนำหน้ากับลูกชายคนโตสองคน ส่วนคุณแม่เดินตามหลังกับลูกชายคนเล็ก

ทางเดินที่เป็นคันดินนั้นมีการแบ่งเป็นท้องร่องเพื่อติดตั้งระหัดวิดน้ำซึ่งมีใบพัดเหล็กสูงจากคันดินราว 25 ซม. คุณพ่อและลูกชายคนโตสองคนข้ามท้องร่องแล้วเดินนำต่อไปข้างหน้า ไม่มีใครฉุกคิดระวังถึงเหตุร้าย แต่แล้วลุกชายคนเล็กกลับก้าวพลาดล้มลงไปในท้องร่อง ขากางเกงเข้าไปติดกับร่องของระหัดวิดน้ำที่กำลังหมุนอยู่และฉุดขาของลูกทั้งสองข้างเข้าไปในใบพัดเหล็ก ถ้าเป็นพวกคุณ คุณจะทำอย่างไร …

มิส หยุดเรื่องไว้ เพื่อซักถาม มองหน้านักเรียนทั้งห้องที่นั่งเงียบกริบ หน้าซีด โดยเฉพาะลูกชายของคุณแม่ท่านนั้น

แต่นักเรียนรู้มั้ยว่า คุณแม่ท่านตัดสินใจอย่างไร คุณแม่ไม่ยอมเสียเวลาคิดอะไรเลยท่านรีบดึงตัวลูกเอาไว้ แล้วเอาแขนซ้ายที่ว่างอยู่เข้าไปขวางใบพัดไว้ก่อน…

ใบพัดหมุนแขนของคุณแม่เข้าไป … คนงานที่เห็นเหตุการณ์จึงรีบปิดเครื่องแต่แรงเฉื่อยยังทำให้ใบพัดหมุนด้วยกำลังรง … แรงเสียจนกระชากแขนซ้านคุณแม่ ขาดสะบั้นลง !

คุณแม่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสสติสัมปชัญญะดับวูบลงในทันทีท้องร่องบริเวณนั้นแดงฉานไปด้วยเลือด … เลือดของแม่ …

ใบพัดเหล็กยังหมุนต่อไปอีกเล็กน้อยและบดเอาขาทั้งสองข้างของลูกชายคนเล็กจนกระดูกหัก แต่ไม่ขาด ไม่ขาดเพราะ… เพราะแขนซ้ายของแม่ขาดแทน .. ไม่ขาด เพราะแม้ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ มือขวาของแม่ยังยึดตัวลูกเอาไว้แน่น … ไม่ยอมปล่อย …

คุณพ่อและลูกคนโตทั้งสองคนหันกลับมามองตามเสียงตะโกน เอะอะโวยวายของคนงาน พร้อม ๆ กับเสียงกรีดร้องของคุณแม่ ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาช๊อกแทบสิ้นสติ … คุณพ่อรีบกระโจนพรวดเดียวถึงตัวแม่และลูกน้อย …

แต่… มันสายเกินไปแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้ คือ รีบพาทั้งสองส่งโรงพยาบาลทันที ผลการรักษา คุณแม่ต้องใส่แขนเทียมแทนที่ขาดไป ส่วนลูกชายคนเล็ก ที่ขาหักต้องพักฟื้นนานราวสามเดือน จึงสามารถเดินได้ เป็นปกติ

มิสอุไรพร กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง แล้วถามว่า นักเรียนคิดว่าคุณแม่ท่านนี้กล้าหาญไหมคะ เด็ก ๆ พากันตอบเป็นเสียงเดียวกันพลางพยักหน้า หลาย ๆ คนยังหน้าซีดเซียว เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ตามที่ครูเล่า

มิส มองหน้าลูกชายของคุณแม่แล้วบอกว่า … นักเรียนทราบไหมว่าคุณแม่ท่านนั้นเป็นคุณแนคุณแม่ของเพื่อนเราในห้องนี้เอง ไหน ใครเป็นลูกของคุณแม่ท่านนั้น ยืนขึ้นให้เพื่อนเห็นหน่อยสิ… เด็กคนนั้นยืนขึ้น ท่ามกลางเสียงปรบมือของเพื่อน ๆ ทั้งห้อง “วันนี้เมื่อคุณกลับไปบ้าน มิสฝากเรียนคุณแม่ด้วยว่า พวกเราชื่นชมและยกย่องท่านมาก ๆ”

มิสได้ทราบว่ามีหลาย ๆ คนไปล้อเลียนเพื่อน ไหนคนไหนบ้างคะที่เคยล้อคุณแม่เขา ถ้ามี เราลูกผู้ชายต้องกล้ารับค่ะ

มีนักเรียน 3-4 คน ยืนขึ้น ใบหน้าของแต่ละคนรู้สึกสำนึกผิด แล้วมิสก็ถามว่า ดีมากนักเรียน ตอนนี้คุณคงมีอะไรอยากจะพูดกับเพื่อนใช่มั๊ยคะ

เด็กชายกลุ่มนั้นเดินเข้าไปโอบกอดคอ แล้วกล่าวขอโทษเพื่อนด้วยความจริงใจ ครูสาวน้ำตาคลอเบ้า ยืนมองภาพนั้นด้วยความปลาบปลื้มใจ

ใครเล่า … จะเข้าใจความเจ็บช้ำ ขมขื่นในหัวใจเล็ก ๆ ของเด็กชายคนหนึ่ง ที่ถูกเพื่อนล้อเลียนประสาเด็กไม่ทันคิด

หากบัดนี้ … ความรักของแม่และน้ำใจของเพื่อน ๆ ได้สลายปมด้อยในใจของเขาไปจนสิ้น เหลือเพียงความรักและความภาคภูมิใจในตัวคุณแม่เท่านั้น

เมื่อหมดชั่วโมงเรียน มิสได้เรียกลูกชายคุณแม่ เข้าไปคุยอีกครั้ง “วันนี้เรามีอะไรในใจที่คิดว่าควรพูดกับคุณแม่ม้ยคะ” เด็กคนนั้นนิ่งคิดไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบเสียงสั่นปนสะอื้นว่า ….

“ผม… ผม จะไปขอโทษคุณแม่ แล้ว… บอกคุณแม่ว่า ผมรักคุณแม่มากที่สุดในโลกเลยครับ”

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

ความต่างของความคิด




Paul และ Peter ทำงานอยู่ในบริษัทเดียวกันอายุเท่ากันช่วงเวลาทำงานก็ไม่ต่างกันเท่าใด นัก พวกเขามีความขยัน ตั้งใจในการทำงาน

แต่ว่าPeterนั้นทำงานได้ไม่นานนักก็ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเรื่อยๆ จนได้เป็นถึงผู้จัดการแผนกแต่สำหรับPaul แล้ว ดูเหมือนทุกคนจะลืมไปว่ามีเขาอยู่ด้วยจนวันหนึ่งPaulซึ่งหมดความอดทนได้เข้า มาขอลาออก เหตุผลก็คือ เขาได้ทำงานหนักแต่ไม่เคยประจบประแจง หรือเป็นคนคุยโวโอ้อวด เขาจึงไม่เคยอยู่ในสายตาของผู้อำนวยการเลย

เมื่อผู้อำนวยการฟัง Paul พูดจบ เขาทราบว่า Paul นั้นทำงานหนักจริง แต่เขาขาดคุณสมบัติไปข้อหนึ่งถ้าเขาพูดไปตรงๆอาจทำให้ Paulไม่สบายใจดังนั้น เขาจึงคิดวิธีหนึ่งได้ แล้วพูดว่า

“Paul บางทีฉันอาจจะตาลายนะ เอาอย่างนี้แล้วกัน เธอไปที่ตลาดดูว่าที่ตลาดมีอะไรมาขายบ้าง” Paulรีบไปตลาดแล้วก็กลับมารายงานผู้อำนวยการว่า

“ผมพบว่ามีชาวนาชราคนหนึ่งลากรถมาขายถั่ว” ผู้อำนวยการถาม “รถนั้นสามารถบรรทุกถั่วได้หนักกี่กิโล” Paul ก็ขอกลับไปดูใหม่

สักครู่ก็กลับมา รายงานว่า “รถนั้นบรรทุกถั่วจำนวน 40 กว่าถุง ถุงละประมาณ 20 กิโล” ผู้อำนวยการจึงถามอีกว่า “กิโลละเท่าไหร่”

Paul ก็จะขอกลับไปดูใหม่ แต่ผู้อำนวยการได้เรียกให้เขาหยุด และให้พักผ่อนสักครู่

จากนั้นเขาก็ให้คนไปเรียก Peter มาพบแล้วพูดกับเขาว่า “คุณ Peter คุณรีบไปตลาดนะ ดูว่าวันนี้มีอะไรมาขายบ้าง” ไม่นานนัก Peter ก็กลับมาแจ้งว่า

“ที่ตลาดมีเพียงชาวนาชราคนหนึ่งนำถั่วมาขาย มีอยู่ประมาณ 40 กว่าถุง รวมแล้ว 800 กว่ากิโล ราคาก็ปานกลาง และคุณภาพก็ดีด้วย” จากนั้นเขาก็นำตัวอย่างถั่วบางเม็ดให้ผู้อำนวยการดู แล้วพูดต่อว่า “เย็นนี้เขาจะลากถั่วอีก 1 คันรถมาขายที่ตลาด ราคาก็ใช้ได้ ผมเตรียมที่จะเจอกับชาวนาชราคนนี้อีกครั้งในตอนเย็น”

Paul ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เริ่มหน้าแดง เขาขอร้องให้ผู้อำนวยการคืนใบลาออกให้กับเขา ตอนนี้เขาเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างเขากับ Peter แล้ว

คนที่จะ ประสบความสำเร็จได้นั้น ที่จริงแล้วไม่มีเทคนิคอะไร แต่เขาจะมีความคิดที่ไกล ก้าวหน้ากว่าคนอื่นเท่านั้นเอง การมีความคิดที่ก้าวไกลกว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ การที่เราก้มหน้าก้มตาทำงาน โดยที่เราไม่มองข้างบนหรือข้างๆเลย ว่าเขาไปถึงไหนกันแล้ว ดิดแต่จะทำ แต่ก้าวไปไม่ถึงไหน ถ้าเราคิดได้มากขึ้น ละเอียดขึ้นไม่ใช่จะทำให้เราเสียเวลา แต่จะยิ่งทำให้เรามีทัศนวิสัยที่กว้างไกลยิ่งขึ้นสามารถเข้าใจสถานการณ์ ทั้งหมดได้อย่างรวดเร็วและจะทำให้เราเข้าใกล้เป้าหมายของความสำเร็จได้เร็ว ยิ่งขึ้น

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

กินสตรอเบอรี่กันสมองเสื่อม





ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า พวกผลเบอรี่ทั้งหลายสามารถทำให้สมองแจ่มใส ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมเมื่อถึงวัยชราได้ สตรอเบอรี่ บลูเบอรี่ และพวกเบอรี่ที่มีสีสันสดใสทุกชนิดจะกระตุ้นให้กลไก "แม่บ้าน" ภายในสมองทำงาน

กลไกที่ว่านี้จะเก็บกวาดและรีไซเคิลเซลล์บางชนิดที่ทำให้ความจำเสื่อมหัวคิดไม่แล่น ซึ่งจะทำให้สติปัญญายังคงเฉียบแหลมแม้ย่างสู่วัยชรา

รายงานซึ่งนำเสนอต่อที่ประชุมวิชาการของสมาคมเคมีอเมริกัน บอกว่า ลูกวอลนัตก็อาจให้ผลอย่างเดียวกันนี้ด้วย ผลวิจัยพบว่า "เซลล์แม่บ้าน" หรือไมโครเกลีย ทำหน้าที่ทำลายหรือรีไซเคิลสิ่งตกค้างทางชีวเคมีซึ่งเป็นอันตรายต่อการทำงานของสมอง เมื่อคนเราแก่ตัวลงเซลล์พวกนี้จะทำหน้าที่อ่อนด้อยลง ทำให้สิ่งตกค้างสั่งสมมากขึ้น

นัก วิจัย ชิบู ปูลอส บอกว่า ไมโครเกลียจะเริ่มทำลายเซลล์ที่มีสภาพดีในสมอง แต่พวกผลเบอรี่สามารถช่วยได้ ทีม วิจัยของกระทรวงเกษตรของสหรัฐคณะนี้บอกว่า ข้อค้นพบนี้เป็นงานชิ้นแรกที่ระบุถึงข้อดีของลูกเบอรี่ชนิดต่างๆ ในเรื่องนี้ เบอรี่มีสารแอนโธไซยานินในปริมาณมาก ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยป้องกันโรคหัวใจ มะเร็ง อัลไซเมอร์ และเบาหวานได้ สำหรับสารต้านอนุมูลอิสระสีแดงและสีม่วงนั้น พบได้ในบีทรูต กะหล่ำแดง ลูกท้อ มะเขือสีม่วง

วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

~~ชีวิตคนกับสิ่งตรงกันข้าม.~~

ลองอ่านดูว่าตรงไหม .. มีอะไรที่แตกต่างจากนี้อีกรึป่าว.. ชีวิตคนเรา

บอกกับตัวเองว่าจะเลิกทำบางอย่าง ... ...
แต่ก็ไม่เห็นว่าจะเลิกได้อย่างที่พูด



เคยคิดจะไว้ผมยาว อยากให้ยาวถึงกลางหลัง ... ...
แต่ยาวไม่เท่าไหร่ก็ตัด เพราะรำคาญ



เคยคิดวางแผนจะทำโน่นทำนี่ให้กับชีวิตตัวเอง ... ...
แต่ก็ไม่เคยทำได้ซักครั้ง



ชอบใครคนหนึ่ง รู้ว่ามาเป็นแฟนกันไม่ได้ ... ...
แต่บางครั้งก็ยังแอบหวังอยู่เล็กน้อย



เหมือนจะรู้จักตัวเองดีกว่าใครๆ ... ...
แต่บางครั้งต้องถามคนอื่นว่าเราเป็นยังไง



เหมือนจะเป็นตัวของตัวเองมาก ......
แต่ที่จริงทุกสิ่งไม่ใช่เรา



รำคาญคนบางคน ......
ทั้งที่เขาดีกับเราจะตาย



เหมือนจะรู้ใจ เข้าใจ ... ...
แต่บางครั้งเหมือนไม่เป็นอย่างนั้น



อยากสวย ... ...
ทำไมมันไม่สวย (ก็ไอ้กระจกเฮงซวย ส่องแล้วไม่สวยแบบเนี้ย)



บางครั้งอยากรอ .....
แต่ก็ไม่อยากให้นานนัก



อยากบอกให้รู้ว่าคิดยังไง ......
ก็ได้แต่เก็บไว้ข้างในไม่กล้าบอก



อยากทำอะไรดีๆ ให้ใครซักคน ......
แต่เขาไม่อยู่ให้เราได้ทำอะไรให้แล้ว



อยากย้อนเวลากลับไปทำสิ่งดีๆ ......
แต่เราไม่มีเครื่องย้อนเวลา



อยากได้ A ... ...
แต่ขี้เกียจอ่านหนังสือ



อยากวางความเกลียด ... ..
แต่พอเห็นมันแล้ววางไม่ลง



อยากเป็นคนที่ใครๆ ก็รัก ใครๆ ก็คิดถึง ... ...
แต่ดันทำตัวให้คนอื่นเกลียด



ร้องขอความเห็นใจ ความรัก ความเอาใจใส่ ... ..
แต่ไม่เคยดูว่าคนอื่นเขามีให้หรือเปล่า



มีความรักให้คนอื่นเสมอ ... ...
แต่ไม่เคยรักตัวเอง

วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

อินเตอร์เน็ต

อินเทอร์เน็ต (อังกฤษ: Internet) หมายถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ที่มีการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายหลายๆ เครือข่ายทั่วโลก โดยใช้ภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่างคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า โพรโทคอล (Protocol)สามารถสื่อสารกันได้ในหลายทาง เช่น อีเมล์ เว็บ เป็นต้น อินเทอร์เน็ตเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) จากการเกิดเครือข่าย ARPANET (Advanced Research Projects Agency NETwork) ซึ่งเป็นเครือข่ายสำนักงานโครงการวิจัยชั้นสูงของกระทรวงกลาโหม ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีวัตถุประสงค์หลักของการสร้างเครือข่ายคือ เพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถเชื่อมต่อ และมีปฏิสัมพันธ์กันได้ เครือข่าย ARPANET ถือเป็นเครือข่ายเริ่มแรก ซึ่งต่อมาได้ถูกพัฒนาให้เป็นเครือข่าย อินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน การประยุกต์ใช้อินเทอร์เน็ตในปัจจุบันทำได้หลากหลาย อาทิเช่น ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีเมล์ (e-Mail) , สนทนา (Chat), อ่านหรือแสดงความคิดเห็นในเว็บบอร์ด, การติดตามข่าวสาร, การสืบค้นข้อมูล / การค้นหาข้อมูล




ปัจจุบัน จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกโดยประมาณ 1.733 พันล้านคน หรือ 25.6 % ของประชากรทั่วโลก ทวีปที่มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดคือ เอเชีย โดยคิดเป็น 42.6 % ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั้งหมด และประเทศที่มีประชากรผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดคือประเทศจีน คิดเป็นจำนวน 360 ล้านคน

อินเตอร์เน็ตเกิดครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2530 พ.ศ.2534 เป็นปีที่มีการนำอินเตอร์เน็ตเข้ามาอยู่ในประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ โดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เช่าสายเป็นสายความเร็วสูงเชื่อมต่อกับเครือข่าย UUNET ของบริษัทเอกชนที่รัฐเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา การใช้งานอินเตอร์เน็ตในประเทศไทยเกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม 2538 โดยความร่วมมือของรัฐวิสาหกิจ 3 แห่ง คือ การสือสารแห่งประเทศไทย องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย และสำนักงานส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) โดยใช้บริการในนาม บริษัท อินเตอร์เน็ตแห่งประเทศไทย เป็นผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตเชิงพาณิชย์แห่งแรกในประเทศไทย

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สำหรับใครสักคนที่"หัวใจผูกกัน"



เพลงแต่ละเพลงมีความหมายในตัวของมัน ไม่ต้องมีคำพูดมากมายแค่เพลง 1 หนึ่งก็สามารถบอกความรู้สึกดีดีเหล่านั้นได้

ลองฟังดู...แล้วคุณจะยิ้มไปกับมัน

รักแบบไหนกันนะคือ ...รักแท้..




ใครที่กำลังมีความรัก วันนี้มีวิธีสังเกตว่าความรักที่มีอยู่นั้น เป็นรักแท้หรือเปล่ามาให้อ่านกัน...
1. ต้องมีความรู้สึกได้สัมผัส กับความสุขร่วมกับคน ๆ นั้น เมื่ออยู่ด้วยกันก็จะมีความสุขมาก ไม่เคยเบื่อที่มีเขาอยู่ใกล้ ๆ และเมื่อยามที่เขาห่างไกลไม่ได้เห็นหน้า ก็จะรู้สึกเหงา ๆ และคิดถึง ไม่ใช่พอเขาหันหลังให้ ก็กระโดดโลดเต้นดีใจ 2. ต้องให้ความเคารพนับถือคน ๆนั้น ถ้าจะรักใครสักคน แล้วตั้งหน้าดูถูกไม่เคยให้ความเคารพ ในความเป็นเขา แล้วคนอื่น ๆ จะเคารพคน ๆ นั้น ของเราได้อย่างไรและเราจะภูมิใจหรือ กับการที่ได้รักใคร่กับคนที่ใคร ๆ เขาดูถูก
3. ต้องรู้สึกว่าคน ๆ นั้นเป็นที่พึ่งได้ เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ขึ้นในชีวิต ก็มั่นใจว่าเขาจะอยู่เคียงข้างเพื่อคอยช่วยเหลือ 4. ต้องเชื่อมั่นว่าถ้ามีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้นไม่ว่าจะรุนแรงแค่ไหน สัมพันธภาพก็ยังคงดำเนินต่อไป เพราะคนเราย่อมผิดพลาดกันได้ ถ้ารู้จักอภัยกันมันก็อยู่กันทน
5. ต้องเข้าถึงความต้องการอารมณ์ และความรู้สึกของคน ๆ นั้นอย่างถ้ารู้ว่าชอบจะอยู่คนเดียวตามลำพังบ้าง ก็ควรเปิดโอกาสได้อยู่กับตัวเอง ด้วยความเต็มใจ
6. ต้องมีความรู้สึกต้องตาต้องใจในสรีระของคน ๆ นั้น ไม่ว่าจะต้องเสน่ห์ในความเป็นหญิงกำยำ หรือในความล้านจนขึ้นเงาวับบนหัวเขา มันก็มีส่วนในความรักเหมือนกัน
7. ต้องรู้สึกว่าเรา สามารถจะพูดคุยกับคน ๆ นั้นได้ทุกเรื่องอย่างเปิดอก สามารถที่จะขุดความรู้สึกส่วนลึกในหัวใจ ขึ้นมาพูดได้ ไม่ใช่ต้องปิดบังความรู้สึกส่วนนั้นไว้ เพราะกลัวว่าถ้าพูดออกมาแล้ว เราจะอับอายหรือไม่ก็กลัวว่าเขาได้ยิน แล้วจะเดินหายไปจากชีวิต
8. ต้องรู้สึกว่าคน ๆ นั้นเป็นของมีค่าในมือ ถ้าไม่มีเขาสักคน ชีวิตของเราก็สูญของมีค่าไป
9. ต้องรู้สึกเต็มใจที่มีส่วนร่วมกับคนๆ นั้นในหลาย ๆ ด้าน เป็นต้นว่าความคิดอารมณ์ และเวลาแต่ไม่ใช่ร่วมกับเขาไปหมด จนเขาไม่เหลือความเป็นตัวของตัวเอง
10. ต้องรู้สึกอยากมีส่วนร่วมอยากรับฟังทุกอย่าง ไม่ว่าสิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่ดี หรือเป็นสิ่งที่ทุกข์ ที่เรียกว่าร่วมทุกข์ร่วมสุข เพราะคนที่ต้องการแต่จะร่วมสุข นั่นหมายถึงว่าคุณไม่ได้มีรักแท้กับคนๆนั้น
ลองนำไปสังเกตความรักของคุณดูได้ ว่าเป็นรักแท้แบบไหน.

"คนที่เรารัก" กับ "คนที่รักเรา"

ระหว่าง "คนที่เรารัก" กับ "คนที่รักเรา" เราควรจะเลือกใครดี คนที่เรารัก.....คือคนที่ใช่สำหรับเรา แต่บางครั้ง.....เรากลับรู้สึกว่าเขาไม่ใช่ คนที่เรารัก.....คือคนที่เราคิดว่าเรารู้จักเขาดี แต่แท้จริงแล้ว....เรากลับไม่รู้จักเขาเลย คนที่เรารัก......คือคนที่เราพร้อมจะเป็นผู้ให้ แต่สิ่งที่เราให้.....เขากลับไม่เคยมองเห็นสิ่งที่เราให้ไป คนที่เรารัก........คือคนที่เราอยู่ด้วยเวลามีความสุข แต่เวลาเราทุกข์.....เรากลับมองหาเขาไม่เจอ คนที่เรารัก....คือคนที่เราใส่ใจทุกเวลา แต่ที่แย่กว่าคือ.....ตลอดมาเขาไม่ได้ "รักเรา"…….คนที่รักเรา.......คือคนที่เราเพียงมองผ่าน แต่เขา.....กลับมองเราอย่างใส่ใจ คนที่รักเรา.....คือคนที่เราไม่พยายามทำความรู้จัก แต่เขา.....กลับพยายามทำความรู้จักเรา คนที่รักเรา.....คือคนที่เราไม่เคยให้ความสำคัญมากมาย แต่เขา.....กลับให้ในสิ่งที่ล้วนมีค่ามีความสำคัญกับเรา คนที่รักเรา......คือคนที่เราไม่เคยเห็นหน้าเวลาสุข แต่เวลาทุกข์......เขากลับเป็นเหมือนเงาคอยเฝ้าตาม คนที่รักเรา.....คือคนที่เราไม่เคยนึกถึง แต่มีสิ่งหนึ่ง.....บอกให้รู้ว่า......"เขารักเรา"

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ประวัติจังหวัดนครราชสีมา


ประวัติเมืองนครราชสีมา (โคราช)

ประวัติจังหวัดนครราชสีมาเมืองนครราชสีมา เป็นเมืองโบราณเมืองหนึ่งในอาณาจักรไทยแต่เดิมตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ในท้องที่อำเภอสูงเนิน ห่างจากตัวเมืองปัจจุบันประมาณ 31 กิโลเมตร คือ เมือง"โคราช" หรือ "โคราฆะ" กับเมือง "เสมา" ทั้งสองเมืองดังกล่าว เคยเจริญ รุ่งเรืองมาก ในสมัยขอมแต่ปัจจุบันเป็นเมืองร้าง ตั้งอยู่ริมฝั่งลำตะคอง สมัยกรุงศรีอยุธยา ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2199-2231) โปรดให้สร้างเมืองสำคัญที่อยู่ชายแดน ให้มี ป้อม ปราการ จึงให้ย้ายเมืองที่ ตำบลโคราช อำเภอสูงเนิน มาสร้างเมืองที่มีป้อมปราการและคูน้ำล้อมรอบขึ้นใหม่ ในที่ซึ่งอยู่ ในปัจจุบัน แล้วเอานามเมืองใหม่ทั้งสอง คือเมืองเสมา กับเมืองโคราฆะ มาผูกเป็นนามเมืองใหม่ เรียกว่าเมืองนครราชสีมา แต่คนทั่วไป เรียกว่า เมืองโคราช เมืองนี้กำแพงก่อด้วยอิฐ มีใบเสมาเรียงรายตลอด มีป้อมกำแพงเมือง 15 ป้อม 4 ประตู สร้างด้วยศิลาแลง มีชื่อดังต่อไปนี้ - ทางทิศเหนือ ชื่อประตูพลแสน นัยหนึ่งเรียก "ประตูน้ำ" - ทางทิศใต้ ชื่อประตูชัยณรงค์ นัยหนึ่งเรียก "ประตูผี" - ทางทิศตะวันออก ชื่อ "ประตูพลล้าน" นัยหนึ่งเรียกประตูตะวันออก - ทางทิศตะวันตก ชื่อ "ประตูชุมพล"
ประตูเมืองทั้ง 4 แห่งนี้ มีหอรักษาการอยู่ข้างบนทำเป็นรูปเรือน (คฤหาสน์) หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผามีช่อฟ้าใบระกาเหมือนกัน ทุกแห่ง ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 ทรงจัดการปกครองหัวเมืองทางแผ่นดินสูงตอนริมแม่น้ำโขง เป็นประเทศราช 3 เมือง คือ เมืองเวียงจันทร์ เมืองคมพนม และเมืองนครจำปาศักดิ์ ให้เมือนครราชสีมา ปกครองเมืองกรมการป่าดง และเมืองดอนที่ไม่ขึ้นต่อ ประเทศราช ทั้ง 3 และกำกับตรวจตราเมืองประเทศราชเหล่านั้นด้วย แล้วยกฐานะเมืองนครราชสีมาเป็นเมืองเอก ผู้สำเร็จราชการ มียศเป็นเจ้าพระยา เจ้าพระยาเมืองนครราชสีมาคนแรกชื่อเดิมคือ ปิ่น ณ ราชสีมา และในรัชกาลนี้เมืองนครราชสีมา ได้นำช้าง เผือก 2 เชือก ที่คล้องได้ในเขตอำเภอภูเขียว ซึ่งน้อมเกล้าถวายและได้โปรดเกล้าฯให้ขึ้นระวางเป็นพระอินทร์ไอยรา และพระเทพ กุญชรช้างเผือก เมื่อส่งเข้าเมืองยังคงเก็บรักษาไว้ในศาลเจ้าพ่อช้างเผือกอยู่ริมถนนมิตรภาพ ตรงข้ามโรงเรียนสุรนารีวิทยา ในสมัยรัชกาลที่ 4 เมืองนครราชสีมา มีความเจริญมากขึ้น เป็นศูนย์กลางค้าขายของหัวเมืองทางตะวันออก เพราะมีสินค้าที่พ่อค้า ต้องการมาก เช่น หนังสัตว์ เขาสัตว์ นอแรด งา ไหม พวกพ่อค้าเดินทางมาซื้อสินค้าเหล่านี้แล้วส่งไปจำหน่ายที่กรุงเทพฯ และนำ สินค้าจากกรุงเทพฯมาจำหน่ายในหัวเมืองตะวันออก โดยตลาดกลางอยู่ที่เมืองนครราชสีมา และในปี พ.ศ. 2434 ( ร.ศ. 1110) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้โปรดให้รวบรวมหัวเมืองในเขตที่ราบสูงเป็น 3 มณฑล คือ
1. มณฑลลาวพวน มีเมืองหนองคาย เป็นที่ว่าการมณฑล
2. เมืองลาวกาว มีเมืองนครจำปาศักดิ์ เป็นที่ว่าการมณฑล
3. เมืองลาวกลาง มีเมืองนครราชสีมา เป็นที่ว่าการมณฑล
ต่อมาเมื่อได้จัดหัวเมืองเป็นมณฑลเทศาภิบาลทั่วทั้งพระราชอาณาเขตได้เปลี่ยนนามมณฑลทั้ง 3 เสียใหม่ คือมณฑลลาวพวน เป็นมณฑลอุดร มณฑลลาวกาว เป็นมณฑลร้อยเอ็ด มณฑลลาวกลางเป็นมณฑลนครราชสีมา ในสมัยรัชกาลที่ 7 พ.ศ. 2475 หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย แล้วได้ยกเลิกการจัดหัวเมืองมณฑล เทศาภิบาล และจัดใหม่เป็นภาคมณฑลนครราชสีมา เป็นภาคที่ 8 มีหัวเมืองอยู่ในความปกครอง จังหวัด คือ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดศรีษะเกษ และจังหวัดอุบลราชธานี ตั้งที่ว่าการอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา ในปี พ.ศ. 2476 ได้เกิดกบฏบวรเดช โดยมีพลเอกพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าบวรเดช อดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหม เป็นหัวหน้า ทำการยึด เมืองนครราชสีมา เป็นกองบัญชาการ เพื่อรวบรวมกำลังพล ในการที่จะเข้ายึดพระนคร เพื่อบังคับให้คณะรัฐบาลของ พลเอกพระยา พหล พลพยุหเสนา ลาออก ในการก่อกบฏครั้งนี้ ข้าราชการในเมืองนครราชสีมาส่วนหนึ่ง ถูกควบคุมตัวไว้ ส่วนประชาชนถูกหลอกลวงว่าได้เกิดเหตุการณ์ ไม่สงบขึ้นในพระนคร ทหารจึงจำเป็นต้องไประงับเหตุการณ์ ต่อเมื่อได้รับทราบแถลงการณ์ของรัฐบาล จึงเข้าใจว่าการกระทำของ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช เป็นกบฏ ดังนั้น ข้าราชการที่ถูกคุมขังจึงพยายามหลบหนีเอาตัวรอดไปอยู่เมืองไซ่ง่อน ในวันที่ 25 ตุลาคม 2476 รัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระนางเจ้าพระบรมราชินนยารถ ได้เสด็จเยี่ยมพสนิกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ครั้งแรก และได้ประทับแรมที่ จังหวัดนครราชสีมา เมื่อ พ.ศ. 2498 และได้เสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมพสกนิกรชาวเมือง นครราชสีมาอีกหลายครั้ง