หาอะไรก็เจอ

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

วีรกรรมสุดยิ่งใหญ่ของแม่

ตึกเซนต์หลุยมารี แผนกประถม ราวปี พ.ศ. 2539

เสียงโทรศัพท์ ดังขึ้น … มิสค่ะ … ช่วงพักเที่ยงจะมีผู้ปกครองมารอพบสองท่านที่หน้าห้องนะคะ โทรศัพท์แจ้งจากห้องประชาสัมพันธ์ ทำให้มิสอุไรพร นาคะเสถียร ครูประจำชั้น ป.4 รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะจำได้ว่านัดหมายแค่คุณแม่ท่านเดียวเท่านั้นในวันนี้

เอ… ใครละเนี่ย จะมีเรื่องอะไรรึปล่าวนะ เมื่อมาถึงห้อง ครูสาวแทบยกมือรับไหว้จากสุภาพสตรีทั้งสองท่านไม่ทัน หากแต่รูสึกแปลกใจที่เห็นคุณแม่ท่านหนึ่งยกมือไหว้แต่เพียงแขนข้างเดียว

อย่างไรก็ตาม มิสได้เชิญคุณแม่ท่านแรกเข้าไปคุยก่อนตามลำดับการนัดหมาย โดยเก็บงำความแปลกใจไว้ หลังจากคุยกับคุณแม่ท่านแรกเสร็จ จึงได้เชิญคุณแม่อีกท่านเข้ามาคุยในห้องรับรอง

… ภาพแรกที่ได้เห็นชัด ๆ ทำให้ครูสาวตกใจเล็กน้อย แขนซ้ายของคุณแม่เป็นแขนเทียม คุณแม่มาปรึกษาเรื่องการเรียนของลูก เพราะไม่ได้มาในวันนัดพบผู้ปกครองประจำปี เมื่อต้นปีที่ผ่านมา

ลูกเขาไม่อยากให้มา เขาบอกว่าอายพื่อนที่แม่ใส่แขนเทียม กลัวโดนเพื่อนล้อ ว่า แม่แขนเดียว แม่เป็นหุ่นยนต์หรอ อะไรนี่นะคะ เลยไม่ได้มา น้ำเสียงคุณแม่แฝงแววเอ็นดูมากกว่าที่จะโกรธหรือไม่พอใจ

มิสอุไรพร ขออนุญาตซักถามเกี่ยวกับสาเหตุที่คุณแม่ต้องใส่แขนเทียม เมื่อได้ทราบความจริง ครูสาวตัดสินใจแน่วแน่ว่าต้องจัดการเรื่องที่ลูกไม่ยอมรับและไม่เข้าใจแม่ หากปล่อยเรื่องนี้ไป… จะเป็นตราบาปอันหนักยิ่งติดตัวเด็กไปภายหน้า ทั้งตัวลูกชายและคนที่ล้อเพื่อนที่ล้อเพื่อนด้วย

ช่วงเย็นวันนั้นมีชั่วโมงลูกเสือแต่ฝนตกหนัก มิสอุไรพร จึงได้โอกาสนำเรื่องนี้มาเล่าให้นักเรียนฟัง เรื่องราวที่ว่านั้น ความดังนี้…

วันที่ 21 สิงหาคม 2536 หลังวันแม่ไม่กี่วัน… ครอบครัวหนึ่งเดินทางไปเที่ยวนากุ้งที่จังหวัดสตูล ประกอบด้วย พ่อแม่และลูกชายอีกสามคน พวกเขาเดินชมนากุ้งไปตามทางเดินซึ่งเป็นคัดดินเล็ก ๆ ท่ามกลางบรรยากาศสดชื่นของธรรมชาติ โดยมีคุณพ่อเดินนำหน้ากับลูกชายคนโตสองคน ส่วนคุณแม่เดินตามหลังกับลูกชายคนเล็ก

ทางเดินที่เป็นคันดินนั้นมีการแบ่งเป็นท้องร่องเพื่อติดตั้งระหัดวิดน้ำซึ่งมีใบพัดเหล็กสูงจากคันดินราว 25 ซม. คุณพ่อและลูกชายคนโตสองคนข้ามท้องร่องแล้วเดินนำต่อไปข้างหน้า ไม่มีใครฉุกคิดระวังถึงเหตุร้าย แต่แล้วลุกชายคนเล็กกลับก้าวพลาดล้มลงไปในท้องร่อง ขากางเกงเข้าไปติดกับร่องของระหัดวิดน้ำที่กำลังหมุนอยู่และฉุดขาของลูกทั้งสองข้างเข้าไปในใบพัดเหล็ก ถ้าเป็นพวกคุณ คุณจะทำอย่างไร …

มิส หยุดเรื่องไว้ เพื่อซักถาม มองหน้านักเรียนทั้งห้องที่นั่งเงียบกริบ หน้าซีด โดยเฉพาะลูกชายของคุณแม่ท่านนั้น

แต่นักเรียนรู้มั้ยว่า คุณแม่ท่านตัดสินใจอย่างไร คุณแม่ไม่ยอมเสียเวลาคิดอะไรเลยท่านรีบดึงตัวลูกเอาไว้ แล้วเอาแขนซ้ายที่ว่างอยู่เข้าไปขวางใบพัดไว้ก่อน…

ใบพัดหมุนแขนของคุณแม่เข้าไป … คนงานที่เห็นเหตุการณ์จึงรีบปิดเครื่องแต่แรงเฉื่อยยังทำให้ใบพัดหมุนด้วยกำลังรง … แรงเสียจนกระชากแขนซ้านคุณแม่ ขาดสะบั้นลง !

คุณแม่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสสติสัมปชัญญะดับวูบลงในทันทีท้องร่องบริเวณนั้นแดงฉานไปด้วยเลือด … เลือดของแม่ …

ใบพัดเหล็กยังหมุนต่อไปอีกเล็กน้อยและบดเอาขาทั้งสองข้างของลูกชายคนเล็กจนกระดูกหัก แต่ไม่ขาด ไม่ขาดเพราะ… เพราะแขนซ้ายของแม่ขาดแทน .. ไม่ขาด เพราะแม้ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ มือขวาของแม่ยังยึดตัวลูกเอาไว้แน่น … ไม่ยอมปล่อย …

คุณพ่อและลูกคนโตทั้งสองคนหันกลับมามองตามเสียงตะโกน เอะอะโวยวายของคนงาน พร้อม ๆ กับเสียงกรีดร้องของคุณแม่ ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาช๊อกแทบสิ้นสติ … คุณพ่อรีบกระโจนพรวดเดียวถึงตัวแม่และลูกน้อย …

แต่… มันสายเกินไปแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้ คือ รีบพาทั้งสองส่งโรงพยาบาลทันที ผลการรักษา คุณแม่ต้องใส่แขนเทียมแทนที่ขาดไป ส่วนลูกชายคนเล็ก ที่ขาหักต้องพักฟื้นนานราวสามเดือน จึงสามารถเดินได้ เป็นปกติ

มิสอุไรพร กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง แล้วถามว่า นักเรียนคิดว่าคุณแม่ท่านนี้กล้าหาญไหมคะ เด็ก ๆ พากันตอบเป็นเสียงเดียวกันพลางพยักหน้า หลาย ๆ คนยังหน้าซีดเซียว เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ตามที่ครูเล่า

มิส มองหน้าลูกชายของคุณแม่แล้วบอกว่า … นักเรียนทราบไหมว่าคุณแม่ท่านนั้นเป็นคุณแนคุณแม่ของเพื่อนเราในห้องนี้เอง ไหน ใครเป็นลูกของคุณแม่ท่านนั้น ยืนขึ้นให้เพื่อนเห็นหน่อยสิ… เด็กคนนั้นยืนขึ้น ท่ามกลางเสียงปรบมือของเพื่อน ๆ ทั้งห้อง “วันนี้เมื่อคุณกลับไปบ้าน มิสฝากเรียนคุณแม่ด้วยว่า พวกเราชื่นชมและยกย่องท่านมาก ๆ”

มิสได้ทราบว่ามีหลาย ๆ คนไปล้อเลียนเพื่อน ไหนคนไหนบ้างคะที่เคยล้อคุณแม่เขา ถ้ามี เราลูกผู้ชายต้องกล้ารับค่ะ

มีนักเรียน 3-4 คน ยืนขึ้น ใบหน้าของแต่ละคนรู้สึกสำนึกผิด แล้วมิสก็ถามว่า ดีมากนักเรียน ตอนนี้คุณคงมีอะไรอยากจะพูดกับเพื่อนใช่มั๊ยคะ

เด็กชายกลุ่มนั้นเดินเข้าไปโอบกอดคอ แล้วกล่าวขอโทษเพื่อนด้วยความจริงใจ ครูสาวน้ำตาคลอเบ้า ยืนมองภาพนั้นด้วยความปลาบปลื้มใจ

ใครเล่า … จะเข้าใจความเจ็บช้ำ ขมขื่นในหัวใจเล็ก ๆ ของเด็กชายคนหนึ่ง ที่ถูกเพื่อนล้อเลียนประสาเด็กไม่ทันคิด

หากบัดนี้ … ความรักของแม่และน้ำใจของเพื่อน ๆ ได้สลายปมด้อยในใจของเขาไปจนสิ้น เหลือเพียงความรักและความภาคภูมิใจในตัวคุณแม่เท่านั้น

เมื่อหมดชั่วโมงเรียน มิสได้เรียกลูกชายคุณแม่ เข้าไปคุยอีกครั้ง “วันนี้เรามีอะไรในใจที่คิดว่าควรพูดกับคุณแม่ม้ยคะ” เด็กคนนั้นนิ่งคิดไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบเสียงสั่นปนสะอื้นว่า ….

“ผม… ผม จะไปขอโทษคุณแม่ แล้ว… บอกคุณแม่ว่า ผมรักคุณแม่มากที่สุดในโลกเลยครับ”

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

ความต่างของความคิด




Paul และ Peter ทำงานอยู่ในบริษัทเดียวกันอายุเท่ากันช่วงเวลาทำงานก็ไม่ต่างกันเท่าใด นัก พวกเขามีความขยัน ตั้งใจในการทำงาน

แต่ว่าPeterนั้นทำงานได้ไม่นานนักก็ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเรื่อยๆ จนได้เป็นถึงผู้จัดการแผนกแต่สำหรับPaul แล้ว ดูเหมือนทุกคนจะลืมไปว่ามีเขาอยู่ด้วยจนวันหนึ่งPaulซึ่งหมดความอดทนได้เข้า มาขอลาออก เหตุผลก็คือ เขาได้ทำงานหนักแต่ไม่เคยประจบประแจง หรือเป็นคนคุยโวโอ้อวด เขาจึงไม่เคยอยู่ในสายตาของผู้อำนวยการเลย

เมื่อผู้อำนวยการฟัง Paul พูดจบ เขาทราบว่า Paul นั้นทำงานหนักจริง แต่เขาขาดคุณสมบัติไปข้อหนึ่งถ้าเขาพูดไปตรงๆอาจทำให้ Paulไม่สบายใจดังนั้น เขาจึงคิดวิธีหนึ่งได้ แล้วพูดว่า

“Paul บางทีฉันอาจจะตาลายนะ เอาอย่างนี้แล้วกัน เธอไปที่ตลาดดูว่าที่ตลาดมีอะไรมาขายบ้าง” Paulรีบไปตลาดแล้วก็กลับมารายงานผู้อำนวยการว่า

“ผมพบว่ามีชาวนาชราคนหนึ่งลากรถมาขายถั่ว” ผู้อำนวยการถาม “รถนั้นสามารถบรรทุกถั่วได้หนักกี่กิโล” Paul ก็ขอกลับไปดูใหม่

สักครู่ก็กลับมา รายงานว่า “รถนั้นบรรทุกถั่วจำนวน 40 กว่าถุง ถุงละประมาณ 20 กิโล” ผู้อำนวยการจึงถามอีกว่า “กิโลละเท่าไหร่”

Paul ก็จะขอกลับไปดูใหม่ แต่ผู้อำนวยการได้เรียกให้เขาหยุด และให้พักผ่อนสักครู่

จากนั้นเขาก็ให้คนไปเรียก Peter มาพบแล้วพูดกับเขาว่า “คุณ Peter คุณรีบไปตลาดนะ ดูว่าวันนี้มีอะไรมาขายบ้าง” ไม่นานนัก Peter ก็กลับมาแจ้งว่า

“ที่ตลาดมีเพียงชาวนาชราคนหนึ่งนำถั่วมาขาย มีอยู่ประมาณ 40 กว่าถุง รวมแล้ว 800 กว่ากิโล ราคาก็ปานกลาง และคุณภาพก็ดีด้วย” จากนั้นเขาก็นำตัวอย่างถั่วบางเม็ดให้ผู้อำนวยการดู แล้วพูดต่อว่า “เย็นนี้เขาจะลากถั่วอีก 1 คันรถมาขายที่ตลาด ราคาก็ใช้ได้ ผมเตรียมที่จะเจอกับชาวนาชราคนนี้อีกครั้งในตอนเย็น”

Paul ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เริ่มหน้าแดง เขาขอร้องให้ผู้อำนวยการคืนใบลาออกให้กับเขา ตอนนี้เขาเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างเขากับ Peter แล้ว

คนที่จะ ประสบความสำเร็จได้นั้น ที่จริงแล้วไม่มีเทคนิคอะไร แต่เขาจะมีความคิดที่ไกล ก้าวหน้ากว่าคนอื่นเท่านั้นเอง การมีความคิดที่ก้าวไกลกว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ การที่เราก้มหน้าก้มตาทำงาน โดยที่เราไม่มองข้างบนหรือข้างๆเลย ว่าเขาไปถึงไหนกันแล้ว ดิดแต่จะทำ แต่ก้าวไปไม่ถึงไหน ถ้าเราคิดได้มากขึ้น ละเอียดขึ้นไม่ใช่จะทำให้เราเสียเวลา แต่จะยิ่งทำให้เรามีทัศนวิสัยที่กว้างไกลยิ่งขึ้นสามารถเข้าใจสถานการณ์ ทั้งหมดได้อย่างรวดเร็วและจะทำให้เราเข้าใกล้เป้าหมายของความสำเร็จได้เร็ว ยิ่งขึ้น

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

กินสตรอเบอรี่กันสมองเสื่อม





ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า พวกผลเบอรี่ทั้งหลายสามารถทำให้สมองแจ่มใส ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมเมื่อถึงวัยชราได้ สตรอเบอรี่ บลูเบอรี่ และพวกเบอรี่ที่มีสีสันสดใสทุกชนิดจะกระตุ้นให้กลไก "แม่บ้าน" ภายในสมองทำงาน

กลไกที่ว่านี้จะเก็บกวาดและรีไซเคิลเซลล์บางชนิดที่ทำให้ความจำเสื่อมหัวคิดไม่แล่น ซึ่งจะทำให้สติปัญญายังคงเฉียบแหลมแม้ย่างสู่วัยชรา

รายงานซึ่งนำเสนอต่อที่ประชุมวิชาการของสมาคมเคมีอเมริกัน บอกว่า ลูกวอลนัตก็อาจให้ผลอย่างเดียวกันนี้ด้วย ผลวิจัยพบว่า "เซลล์แม่บ้าน" หรือไมโครเกลีย ทำหน้าที่ทำลายหรือรีไซเคิลสิ่งตกค้างทางชีวเคมีซึ่งเป็นอันตรายต่อการทำงานของสมอง เมื่อคนเราแก่ตัวลงเซลล์พวกนี้จะทำหน้าที่อ่อนด้อยลง ทำให้สิ่งตกค้างสั่งสมมากขึ้น

นัก วิจัย ชิบู ปูลอส บอกว่า ไมโครเกลียจะเริ่มทำลายเซลล์ที่มีสภาพดีในสมอง แต่พวกผลเบอรี่สามารถช่วยได้ ทีม วิจัยของกระทรวงเกษตรของสหรัฐคณะนี้บอกว่า ข้อค้นพบนี้เป็นงานชิ้นแรกที่ระบุถึงข้อดีของลูกเบอรี่ชนิดต่างๆ ในเรื่องนี้ เบอรี่มีสารแอนโธไซยานินในปริมาณมาก ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยป้องกันโรคหัวใจ มะเร็ง อัลไซเมอร์ และเบาหวานได้ สำหรับสารต้านอนุมูลอิสระสีแดงและสีม่วงนั้น พบได้ในบีทรูต กะหล่ำแดง ลูกท้อ มะเขือสีม่วง